๑๙ พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันอาภากร
กองทัพเรือได้กำหนดให้วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันอาภากร
เนื่องจากวันนี้เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
"องค์บิดาของทหารเรือไทย" และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกพระกรุณาธิคุณของ
พระองค์ท่านที่ได้ทรงพัฒนากิจการทหารเรือให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง
มีความเจริญก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์ มาตราบเท่าทุกวันนี้
นายพลเรือเอก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ต้นราชสกุลอาภากร)
เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ ๒๘ กับทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์ที่ ๑ ใน
เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)
ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง
มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม
พ.ศ.๒๔๒๓ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๑๕.๕๗
น. มีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา
(สิ้นพระชนม์ขณะทรงพระเยาว์) และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภา ส ในปี พ.ศ.๒๔๓๖
ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าให้
เสด็จในกรมฯ เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ
พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี
ซึ่งการศึกษาของเสด็จในกรมฯ
ณ ประเทศอังกฤษนั้น ในขั้นแรก พระองค์ได้ประทับร่วมกับ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ไบรตันและแอสคอต
เพื่อทรงศึกษาภาษาและวิชาเบื้องต้น
ต่อมาได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาขั้นต้นสำหรับเตรียมเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ที่โรงเรียนกวดวิชา The Linnes
และศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรืออังกฤษ ตามลำดับ
และเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาในปี ๒๔๔๓
พระองค์ได้ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือโดยได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท (เทียบเท่า นาวาตรี
ในปัจจุบัน) พระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อกองทัพเรือกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ
ทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึก พลอาณัติสัญญาณ
(ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรก ทหารเหล่าทัศนสัญญาณ
จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปีนี้
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๓ การจัดตั้งหน่วยฝึกพลทหารที่บางพระในช่วงเวลาประมาณ ๒ ปี ที่เสด็จในกรมฯ
ทรงรับราชการ ในกรมทหารเรือ พระองค์คงจะทรงสังเกตว่านายทหารและพลทหารในเวลานั้นขาดทั้งความรู้ ความสามารถ
และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพราะระบบการเรียกเข้ารับราชการและการฝึกไม่เอื้ออำนวยให้
ประกอบกับขาดแคลนผู้ฝึกที่มีความสนใจและตั้งใจจริง ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๕
พระองค์จึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตจัดตั้งหน่วยฝึกขึ้นที่บางพระ
เพื่อเรียกพลทหารจากจังหวัดชายทะเลในภาคตะวันออกมารับการฝึกการจัดระเบียบการบริหารราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ เสด็จในกรมฯ
ได้ทรงจัดระเบียบราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับ
พระราชบัญญัติศักดินาทหารเรือ ร.ศ.๑๑๒ เรียกว่า "ข้อบังคับการปกครอง"
แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือ ตอนที่ ๑ ว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการ ตอนที่ ๒
ว่าด้วยการเร่งคนรับคนเป็นทหาร ตอนที่ ๓ ว่าด้วยยศทหารเรือ
โครงสร้างกำลังทางเรือ และการปรับปรุงด้านการศึกษา ในช่วงที่ทรงทำการในตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ในปี พ.ศ.๒๔๔๘ เสด็จใน
กรมฯ ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเลขึ้น
ตามคำขอของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุน นครสวรรค์วรพินิต
โดยทรงทำเสร็จในเดือนตุลาคม
และให้ชื่อว่า "ระเบียบจัดการป้องกันฝ่ายทะเลโดยย่อ" มีความยาวประมาณ ๕ - ๖ หน้า
และด้วยความพยายามของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ผู้บัญชาการทหารเรือ
ซึ่งทรงพระดำริเห็นชอบกับโครงการสร้างกำลังทางเรือของเสด็จในกรม ฯ ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๔๙
กรมทหารเรือจึงได้รับงบประมาณ ให้สั่งต่อเรือ ล. หรือ Torpedoboat Destroyer ๑
ลำ ซึ่งต่อมาได้รับพระบรมราชโองการให้เรียกว่า "เรือพิฆาฎตอรปิโด"
และพระราชทานชื่อว่า "เสือทยานชล"
พระองค์ได้ทรงแก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียน นายเรือ
และทรงริเริ่มการใช้ระบบปกครองบังคับบัญชาตามระเบียบการปกครองในเรือรบ คือ
การแบ่งให้นักเรียนชั้นสูงบังคับบัญชาชั้นรองลงมา นอกจากนี้
ทรงจัดเพิ่มวิชาสำคัญสำหรับ
ชาวเรือขึ้น เพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือทางไกล ในทะเลน้ำลึกได้ คือ
วิชาดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือ เรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ
รวมทั้งโปรดให้สร้าง โรงเรียนช่างกลขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง
นอกจากนั้นแล้วยังโปรดให้นักเรียนนายเรือฝึดหัดภาคปฏิบัติ
นอกเหนือจากการเรียนภาคทฤษฎีขอพระราชทานพระราชวังเดิมเป็นโรงเรียนนายเรือ เสด็จในกรมฯ
ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญที่ทำให้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของ โรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ ๒๐
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๙ ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่งคงนับ แต่นั้น
และกองทัพเรือได้ยึดถือเอาวันดังกล่าวของทุกปีเป็นวัน "กองทัพเรือ"
ต่อมาเมื่อโรงเรียน นายเรือได้ย้ายไปอยู่ที่ปากน้ำ
กองทัพเรือก็ได้ใช้พระราชวังเดิมเป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่าง ๆ ในส่วนบัญชาการกองทัพเรือ
จวบจนกระทั่งทุกวันนี้
การจัดตั้งกำลังอากาศนาวี
ความคิดในการจัดตั้งกำลังทาง อากาศนาวี (Naval Air Arm) นั้น ได้มีมาตั้งแต่
พ.ศ.๒๔๖๔ เมื่อเสด็จในกรมฯ ครั้งทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการกระทรวงทหารเรือ
ทรงเสนอความเห็นต่อที่ประชุมสภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ ว่า
"สมควรเริ่มตั้งกองบินทะเลขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๖๕ โดยใช้สัตหีบเป็นถาน (ฐานทัพ)"
ซึ่ง สภาบัญชาการฯ มีมติอนุมัติข้อเสนอเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๔ ดังนั้น กองการบินทหารเรือ
จึงได้ถือเอาวันที่ ๗ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสถาปนาหน่วย และชาวบินนาวี
ได้ยึดถือว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บิดาแห่งการบินนาวี ด้วย ฐานทัพเรือสัตหีบ
จากการที่พระองค์ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการณ์ที่ไกล พระองค์ได้ทูลเกล้า
ขอพระราชทานที่เดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือเนื่องจากทรง พิจารณาแล้วเห็นว่า
อ่าวสัตหีบเป็นอ่าวที่มีขนาดใหญ่น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโดได้
และเกาะใหญ่น้อยที่รายรอบสามารถใช้บังคลื่นลมได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน
พื้นที่ดังกล่าวจะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพเรือได้เลย
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว
ได้ทรงพระราชทานที่ดินที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือเพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน
พ.ศ.๒๔๖๕ ดังพระราชกระแสดังนี้"การที่จะเอาสัตหีบเปนฐานทัพเรือนั้น
ตรงตามความปราถนาของเราอยู่แล้ว
เพราะที่เราได้สั่งหวงห้ามที่ดินไว้
ก็ด้วยความตั้งใจจะให้เปนเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่
ถึงเวลาที่จะใช้เป็นฐานทัพเรือและไม่อยากให้โจทย์กันวุ่น
จึงได้กล่าวไว้ว่าจะต้องการที่ไว้ทำวังสำหรับเผื่อจะมีผู้ขอจับจองฝ่ายเทศาภิบาล
จะได้ตอบไม่อนุญาตได้โดยอ้างเหตุ
ว่าพระเจ้าอยู่หัวต้องพระราชประสงค์ เมื่อบัดนี้
ทหารเรือจะต้องการที่นั้นก็ยินดีอนุญาติได้"นอกจากพระกรุ ณาธิคุณของ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ดังที่ได้ได้กล่าวมาแล้ว
พระองค์ยังทรงมีพระปรีชาสามารถ
และมีคุณูปการอเนกอนันต์แก่กองทัพเรือ อาทิ
พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำ
เรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร
นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทยเดินเรือได้ไกลข้ามทวีป
และเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือหลวงมกุฏราชกุมาร (ลำที่ ๑)
นำนักเรียนนายเรือและนักเรียนนายช่างกลไปอวดธงที่ชวา
ได้ทรงนำเรือแวะที่สิงคโปร์
และเปลี่ยนสีเรือมกุฏราชกุมารจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ
เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเลและภูมิประเทศ
ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
ในด้านการดนตรีพระองค์ก็มีความ เชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง เพลงพระนิพนธ์
ของกรมหลวงชุมพรฯ ทุกเพลง จะมีเนื้อหาปลุกใจ ให้มีความรักชาติ กล้าหาญ
ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ อาทิ เพลงดอกประดู่ เพลงเดินหน้า เพลงดาบของชาติ เป็นต้น
ซึ่งเพลงพระราชนิพนธ์ของพรองค์ท่านนับว่าเป็นเพลงปลุกใจที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
เพราะทหารเรือทุกนายได้ขับร้องเพลงเหล่านี้สืบต่อกันมาตราบจนปัจจุบันนับเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๘๐ ปี
ดังนั้นจึงนับได้ว่าเพลงปลุกใจของพระองค์
จึงเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ
เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือ ตลอดเวลา
ในด้านการแพทย์นอกจากพระองค์จะทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์แผนโบราณ
พระองค์ก็ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง โดยในขณะที่เสด็จในกรมฯ
ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๕๔ - พ.ศ.๒๔๕๙
พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ทรงเขียนตำรา
ยาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง
โดยทรงตั้งชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า
"พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม"
ซึ่งสมุดเล่มดังกล่าวปัจจุบันได้ถูก
เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือสมุทรปราการ ในด้านการรักษาพยาบาล
พระองค์ได้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไป โดยไม่เลือก คนจนหรือคนมี
และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายาแต่อย่างใด
ทุกคนที่มีความเดือนร้อนจะต้องได้รับ ความเมตตาจากพระองค์
จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไปในนามพระองค์ว่า "หมอพร" นายพลเรือเอก
พระเจ้าบรมวงค์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์
ได้กราบบังคมทูลออกจากราชการ เพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน
พ.ศ.๒๔๖๖ เนื่องจากพระองค์ทรงมีสุขภาพไม่สมบูรณ์
และประชวรพระโรคภายในอยู่ด้วย ทาง กระทรวงทหารเรือ
ได้สั่งการให้จัดเรือหลวงเจนทะเลถวายเป็นพาหนะ และกรมแพทย์ทหารเรือ
ได้จัดนายแพทย์ประจำพระองค์
๑ นาย พร้อมด้วยพยาบาลตามเสด็จไปด้วย เสด็จในกรมฯ
ได้เสด็จออกจากกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๖
ไปประทับอยู่ด้านใต้ปากน้ำชุมพรซึ่งเป็นที่ที่จองไว้จะทำสวน
ขณะที่พระองค์ประทับอยู่นี้ก็เกิดพระโรคหวัดใหญ่เนื่องจาก ถูกฝน ประชวรอยู่เพียง ๓ วัน
ก็สิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๖ สิริพระชนมายุได้
๔๔ พรรษา ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๖
เรือหลวงเจนทะเลได้เชิญพระศพจากจังหวัดชุมพรมายังกรุงเทพมหานคร
และมาพักถ่ายพระศพลงสู่เรือหลวง พระร่วงที่บางนา ต่อจากนั้นเรือหลวงพระร่วง
ได้นำพระศพเข้ามายังกรุงเทพมหานคร
และนำประดิษฐานไว้ที่วังของพระองค์ท่าน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทาน จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๖
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง ถึงแม้ว่า นายพลเรือเอก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะสิ้นพระชนม์มาเป็นระยะเวลานานถึง ๗๙ ปี แล้วก็ตาม
แต่พระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงทำคุณประโยชน์ให้แก่กองทัพเรืออย่างมหาศาลนั้น
ทำให้กิจการของกองทัพเรือเจริญก้าวหน้ามาจนทุกวันนี้
พระองค์ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการ
ทหาเรือไทยให้มีความเข้มแข็ง มั่นคงมีสมรรถภาพ
สามารถทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติทางทะเลได้ เป็นอย่างดีตลอดมา
จนทหารเรือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต่างก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์อย่างมิรู้ลืม
จึงพร้อมใจกันถวายสมัญญานาม
พระองค์ท่านว่า "องค์บิดาของ ทหารเรือไทย" และถือเอาวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี เป็น
"วันอาภากร"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น